ถวายเครื่องราชสักการะสดุดีเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 25 เมษายน
เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 เวลา 09.00 นาฬิกา ที่ห้องประชุมช้างเผือกสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ หมู่ที่ 7 บ้านคลองหิน ตำบลไสไทย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ นายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการตุลาการ ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร นาวิกโยธิน จำนวน 75 หน่วยงาน ร่วมประกอบพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะและกล่าวถวายราชสดุดีเทิดพระเกียรติ เบื้องหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต เพื่อน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง ในวันที่ 25 เมษายน 2568
ด้วยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงพระราชสมภพ ณ พระราชวังจันทร์ เมื่อปี 2098 พระองค์ทรงเป็นวีรกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถอย่างล้ำเลิศ มีพระอัจฉริยภาพและฝีพระหัตในทางการรบ เชี่ยวชาญอาวุธทุกชนิด ทรงตากตรำพระวรกายในการทำศึกสงครามตลอดพระชนชีพของพระองค์โดยมิได้ว่างเว้น ตั้งแต่พระชนมายุ 16 พรรษา ทรงสามารถขับไล่กองทัพพระยาจีนจันตุจนแตกพ่ายไป ปี 2124 ทรงแสดงแสนยานุภาพในการยกทัพเข้าตีเมืองคัง ตั้งอยู่บนเขาสูงได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย ปี 2127 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแควงว่า ตั้งแต่วันนี้กรุงศรีอยุธยาขาดทางไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรกันตั้งแต่ก่อนต่อไป เพื่อสร้างความเป็นเอกราชให้แก่ชาติไทย
หลังจากประกาศอิสรภาพได้กรีฑาทัพเข้าสู่ชานเมืองหงสาวดีและรวบรวมคนไทยกลับมาได้ อีกทั้งยังสามารถใช้พระแสงปืนยาวยิงข้ามแม่น้ำสะโตง ถูกแม่ทัพของพม่าที่ติดตามมา ซึ่งนั่งอยู่บนคอช้างจนเสียชีวิต ทำให้ทัพพม่าถอยกลับไป และพระแสงปืนที่ทรงใช้ในวันนั้น ได้ปรากฏนามว่า พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธที่จัดอยู่ในพระแสงอัษฎาวุธ อันเป็นเครื่องราชูปโภคสำหรับพระมหากษัตริย์สืบมาจนบัดนี้ และในปีเดียวกัน ทรงได้รับชัยชนะในการทำสงครามกับพระยาพะสิมที่เมืองกาญจนบุรี จนถึงปี 2129 พระเจ้านันทบุเรงยกทัพใหญ่มาล้อมกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรทรงได้ใช้วิจารณญาณอันล้ำเลิศวางแผนป้องกันเมือง โดยการจัดกองโจรออกตัดการลำเลียงเสบียงและออกไปตีปล้นข้าศึก เพื่อมิให้ข้าศึกมีเวลาพักผ่อน พม่าได้ล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นานถึง5 เดือน แต่ไม่สามารถเข้าตีได้จึงล่าทัพกลับไป กรุงศรีอยุธยาว่างศึกได้เพียง 3 ปี จนล่วงถึงปี 2133 สมเด็จพระนเรศวรขึ้นครองราชย์
พระเจ้านันทบุเรง จึงยกทัพเข้าตีกรุงศรีอยุธยาครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง และในครั้งนั้น สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงเปลี่ยนยุทธวิธีการรบ จากการตั้งรับมาเป็นฝ่ายรุก โดยพระองค์ยกกองทัพออกไปตั้งรับที่ลำน้ำท่าคอย และหลอกล่อให้กองทัพพม่ารุกไล่เข้าไปในวงล้อม ที่พระองค์วางทัพรออยู่ ซึ่งผลของการรบครั้งนั้น พระยาพุกามตายในที่รบ พระยาพะสิม ถูกจับ ส่วนพระมหาอุปราชาถอยหนีไป ในวันที่ 18 มกราคม ปี 2135 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำสงครามยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา จนได้รับชัยชนะ ทำให้พระบรมเดชานุภาพแผ่ไพศาลไปทั่วปฐพี หลังจากศึกสงครามยุทธหัตถีนี้แล้ว ได้ทรงปราบปรามหัวเมืองมอญฝ่ายใต้ ได้เมืองตะนาวศรี มะริด และทวาย ปี 2138 และปี 2142 ทรงกรีฑาทัพไปตีเมืองหงสาวดี ได้เมืองเมาะลำเลิง แล้วทรงยกทัพไปถึงเมืองหงสาวดี และเมืองตองอู จนหัวเมืองไทยใหญ่ทั้งปวงยอมขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา
ในปี 2148 พระเจ้าอังวะมีอำนาจขึ้นจึงขยายอาณาเขตเข้ามาทางแคว้นไทยใหญ่ สมเด็จพระนเรศวรทรงยกทัพไปยังเมืองห้างหลวง และประชวรหนักจนเสด็จสวรรคต ในเดือน 6 ขึ้น 8 ค่ำ ปีมะเส็ง 2148 ทรงพระชนมายุ 50 พรรษา ทรงครองสิริราชสมบัติ 15 ปี จากวันนั้นถึงวันนี้แม้พระองค์ได้เสด็จสวรรคตมานานกว่า 419 ปี พสกนิกรชาวไทยทั้งมวลต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และพระเกียรติคุณของพระองค์ท่านที่ทรงพระปรีชาสามารถกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ขับไล่อริราชศัตรูตลอดพระชนชีพ เพื่อสร้างความเป็นเอกราชให้แก่ชาติไทยและเป็นมหาวีรกรรมที่เลื่องลือปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ชาติไทยตราบจนทุกวันนี้