อุดรธานี-แม่ชีร้องโดนน้องฟันเจ็บปางตายแต่ตำรวจไม่จับอ้างไม่ใช่เหตุซึ่งหน้าแจ้งความคดีไม่คืบต้องอยู่อย่างหวาดผวา

อุดรธานี-แม่ชีร้องโดนน้องฟันเจ็บปางตายแต่ตำรวจไม่จับอ้างไม่ใช่เหตุซึ่งหน้าแจ้งความคดีไม่คืบต้องอยู่อย่างหวาดผวา


เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 23 เมษายน ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากแม่ชีเวียง (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 63 ปี ชาวอำเภอเมือง จ.อุดรธานี สังกัดวัดแห่งหนึ่งใน จ.เลย ว่า โดนนายไหม  อายุ 61 ปี น้องชายแท้ๆ ใช้มีดอีโต้ ทำร้ายร่างกาย ด้วยการฟันศีรษะด้านหลัง ใบหูขวา ใบหน้า  แขนขวา  และแขนซ้ายกระดูกหัก ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากไม่พอใจที่ตนเข้ามาเป็นผู้จัดการมรดกและพิทักษ์ทรัพย์ของนายสม อายุ 51 ปี น้องชายที่พิการ เหตุเกิดวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจก่อนโดนทำร้าย เมื่อตำรวจมาถึงตนโดนฟันได้รับบาดเจ็บแล้ว ผู้ก่อเหตุก็ยังอยู่ แต่ตำรวจที่มาระงับเหตุ กลับไม่ยอมจับผู้ก่อเหตุ อ้างว่าไม่ใช่เหตุซึ่งหน้า  เมื่อออกจากโรงพยาบาลมาแจ้งความวันที่ 3 เมษายน 2568  จนถึงวันนี้คดีไม่คืบ คนทำร้ายตนยังไม่ถูกจับดำเนินคดี ทำให้ตนอยู่อย่างหวาดผวา 


แม่ชีเวียง กล่าวต่อไปว่า ครอบครัวตนมีพี่น้องทั้งหมด 10 คน  ตนเป็นคนที่ 6  นายไหมผู้ก่อเหตุเป็นคนที่ 7  ส่วนคนสุดท้องชื่อนายสม อายุ 51 ปี มีอาการทางประสาท เนื่องจากโดนทำร้ายร่างกายบาดเจ็บที่ศีรษะ สมองกระทบกระเทือน ตั้งแต่ปี 2533 ทำให้เป็นคนพิการ  หลังพ่อแม่เสียชีวิตปี2558  แต่ไม่ได้ทำพินัยกรรม หรือแบ่งมรดกให้ลูกทั้ง 10 คน ตนจึงยื่นขอศาลเป็นผู้จัดการมรดก และได้แบ่งมรดกให้พี่น้องเท่าๆ กัน ซึ่งนายสมคนพิการ ได้ที่ดิน  3 แปลง โดยแปลงที่มีปัญหาจำนวน  2 งาน 64 ตารางวา อยู่ในหมู่บ้าน แต่มีข้อแม้ว่าถ้าพี่คนใดเลี้ยงดูนายสมน้องพิการ เมื่อนายสมเสียชีวิตจะได้รับมรดกที่ดินของนายสม ซึ่งนายไหมรับอาสาเลี้ยงดูน้อง และได้สร้างบ้านและเปิดร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ในที่ดินของนายสมมาประมาณ 6-7 ปี ส่วนตนไปบวชชีที่วัดได้ 12 พรรษา 


ต่อมาปี 2562 ตนได้กลับมาเยี่ยมน้องชายทั้งสอง ก็พบว่านายสมถูกขังไว้ในกรงเหล็ก กว้างประมาณ 3x3 เมตร อยู่นอกบ้านไม่มีหลังคาปล่อยให้ตากแดด ตากฝน ตากลม ไม่สวมเสื้อผ้า ตนรู้สึกสงสารน้องมาก จึงได้สอบถามนายไหมแล้วนายไหมก็บอกว่าน้องไม่เชื่อฟัง ชอบอาละวาด ไม่มีใครเอาอยู่ ตนก็ว่าเลี้ยงน้องแบบนี้ไม่ได้   ตนจึงถ่ายภาพส่งไปร้องเรียนกับมูลนิธิปวีณา ได้ส่งเรื่องต่อถึงนายอำเภอเมืองอุดรธานี และ พมจ.อุดรธานี ออกมาตรวจสอบ ตนจึงขออนุญาตนายอำเภอและ พมจ. ขอดูแลนายสมเอง โดยนำนายสมไปเลี้ยงที่บ้านสวนส่วนตัว อยู่ห่างออกไปประมาณ 5 กม. ตนจะพาน้องไปหาหมอ เอายาให้กินตามเวลา  ให้กินข้าว และดูแลน้องด้วยความเมตตา  ซึ่งน้องก็มีอาการดีขึ้น  เชื่อฟัง และไม่อาละวาดอีก

แม่ชีเวียง กล่าวต่อไปอีกว่า ต่อมาตนได้ยื่นศาลขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายสม และเป็นผู้พิทักษ์ทรัพย์นายสมด้วย ซึ่งศาลก็ให้ตนเป็นผู้จัดการมรดกนายสม และพิทักษ์ทรัพย์ พร้อมกับสั่งให้นายไหมขนทรัพย์สินและรื้อบ้านที่ปลูกสร้างบนที่ดินนายสมออกภายวันที่ 24 มีนาคม 2568 และให้เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีมอบทรัพย์ให้ตนพิทักษ์ในวันที่ 28 มีนาคม  2568  ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังส่งมอบทรัพย์สินให้ตน ก็มีหลานสาวมาต่อว่าตนว่า “เป็นแม่ชีฟ้องเอามรดกที่เราเลี้ยงเขามา” แล้วนำมือถือมาถ่ายคลิป พอตนจะจับมือก็พูดว่า “อย่ามาจับ มีสิทธิ์อะไรมาจับฉัน เพราะเราไม่ได้เป็นญาติกัน”  ซึ่งตนกังวลว่าจะไม่ปลอดภัย เจ้าหน้าที่จึงแนะนำให้ตนนำไม้มาตีปิดประตูหน้าต่าง เปลี่ยนกุญแจขณะที่เจ้าหน้าที่ยังอยู่ หากใครเข้ามาไม่ได้รับอนุญาตถือว่าบุกรุก



 “หลังจากเจ้าหน้าที่มอบบ้านเสร็จและกลับไป  นายไหมก็เข้ามา ตนเกรงว่าจะได้รับอันตราย จึงได้โทรหาตำรวจให้รีบมา แต่ตำรวจก็บอกว่ายังไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ต่อมานายไหมได้ใช้มีดอีโต้และเลื่อยฟันที่ศีรษะด้านหลัง ใบหน้า ใบหูขวา แขนขวา  กระดูกแขนซ้ายหัก เลือดไหลอาบตัว ซึ่งนายสมน้องที่พิการเห็นเลือดตนไหลก็ตกใจกลัว แต่ยังมีสติวิ่งเข้ามากอดนายไหมจนล้มลง และทับนายไหมเอาไว้ พอตำรวจมาระงับเหตุ เห็นตนเลือดไหลเปื้อนใบหน้าและเสื้อผ้า แต่ก็ไม่จับกุมนายไหมซึ่งนั่งอยู่ในที่เกิดเหตุ บอกตนว่าไม่ใช่เหตุซึ่งหน้า และยังบอกให้ตนไปแจ้งความที่โรงพัก ซึ่งกู้ชีพได้มานำตนส่งโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม -วันที่ 4 เมษายน โดยวันที่ 3 เมษายน คุณหมออนุญาตให้ตนมาแจ้งความที่ สภ.เมืองอุดรธานี” 

แม่ชีเวียง กล่าวต่อไปว่า ตนแจ้งความเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 จนถึงวันนี้พนักงานสอบสวนยังไม่เรียกตนไปสอบปากคำเพื่อดำเนินคดีกับนายไหม หากคนที่ทำร้ายตนยังไม่ถูกดำเนินคดี  ตนก็ต้องอยู่อย่างหวาดผวา ไม่รู้ว่าจะโดนทำร้ายวันไหน เพราะนายไหมขู่ว่าถ้าจะติดคุกก็จะฆ่าตนไปเลย ตนโทรศัพท์สอบถามพนักงานสอบสวน ก็บอกตนว่าย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว แต่จะเข้าไปสอบปากคำตน และจะโทรนัด ตนเห็นว่าคดีไม่คืบหน้า ผู้ก่อเหตุยังลอยนวล ไม่ถูกดำเนินคดี ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงร้องเรียนสื่อมวลชน 

  “ส่วนเรื่องนายสมน้องชายพิการ ตนได้สอบถามพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่รวม 9 คน เพราะพี่คนโตเสียชีวิตแล้ว ว่ามีใครจะรับดูแลนายสมหรือไม่ ถ้ามีผู้รับดูแล หากนายสมเสียชีวิต ทรัพย์สินซึ่งเป็นที่ดิน 3 แปลงของนายสมก็จะตกเป็นของคนดูแล หรือจะขาย 1 แปลงเพื่อนำเงินมาดูแลนายสมก็ได้ เพราะตนไม่อยากได้ทรัพย์สินของนายสม ตนอยากกลับไปวัดปฏิบัติธรรมมากกว่า  อยากให้ญาติพี่น้องมาดูแลนายสมให้ดีไม่ใช่ขังไว้ตากแดดตากลม  แต่ก็ไม่มีญาติคนใดรับดูแลนายสมเลย  ตนจึงต้องดูแลน้องชายพิการอยู่ที่บ้าน”






Please Select Embedded Mode To Show The Comment System.*

ใหม่กว่า เก่ากว่า
ข่าวช่อง2 ออนไลน์ไทยแลนด์

Default Thumbnail

ข่าวช่อง2 ออนไลน์ไทยแลนด์