สองคนงานก่อสร้าง กำลังขับรถกลับแคมป์ที่พัก จู่ๆยางล้อหลังระเบิดตูมไปต่อไม่ได้ จึงลงจากรถมาเปลี่ยนยาง แต่สายตาหันไปเจอกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ทิ้งในพงหญ้าข้างทาง ช่วยกันลากขึ้นมาเปิดออกดู ถึงกับสุดหลอนและช็อกสุดขีด! เจอโครงกระดูกคน สภาพอยู่ครบทุกส่วน ยัดอยู่ภายในกระเป๋า ตำรวจ สภ.ห้วยใหญ่ พร้อมแพทย์ ตรวจสอบระบุเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
ขณะเดียวกันมีน้องชายพร้อมญาติที่เคยแจ้งความไว้ที่ สภ.สัตหีบ ว่าพี่ชายซึ่งเป็นช่างทาสีหายตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา หลังเห็นไลฟ์สดในโซเชียลฯ เจอโครงกระดูกในกระเป๋าเดินทางจึงรีบมาดู แต่ไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ ต้องรอผลตรวจDNA ยืนยัน ส่วนสองหนุ่มก่อสร้างที่เจอโครงกระดูก ถึงกับหลอนหนัก เชื่อว่าวิญญาณคนตาย ต้องการร้องหาความเป็นธรรม มองว่าเหตุรถยางระเบิด จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เมื่อเวลา 19.20 น. วันที่ 11 มกราคม 2568 ร.ต.อ.เนวิน สุนทวนิค รอง สว.สอบสวน สภ.ห้วยใหญ่ ออกไปตรวจสอบ หลังได้รับแจ้งว่ามีชาวบ้านพบ โครงกระดูกมนุษย์ถูกยัดใส่กระเป๋าเดินทาง นำมาทิ้งที่ริมถนนเส้นเทศบาลห้วยใหญ่ ก่อนถึงแยกถนนสาย 331 ฉะเชิงเทรา - สัตหีบ ประมาณ 1 กิโลเมตร ท้องที่หมู่ 6 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
จึงรายงานให้ พ.ต.ท.พรพรหม ม่วงบังยุง รอง ผกก.สส.สภ.ห้วยใหญ่ และทีมสืบสวน สภ. ห้วยใหญ่ทราบเรื่อง พร้อมประสานแพทย์โรงพยาบาล วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์ฯ เมืองพัทยา เดินทางไปยังจุดที่รับแจ้ง
พบกระเป๋าเดินทางสีแดงเลือดหมูใบใหญ่ ขนาด 32 นิ้ว ถูกทิ้งในร่องน้ำข้างถนน ซึ่งปกคลุมไปด้วยหญ้า เมื่อนำขึ้นเปิดพบโครงกระดูกมนุษย์ คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน สภาพค่อนข้างจะครบทุกส่วน โดยไม่มีส่วนใดหลุดหายไป นอกจากนี้ยังพบเสื้อคอกลมสีน้ำตาล กางเกงในสีเขียว และผ้าขนหนูสีขาว-ชมพู จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
สอบถาม นายพีระพัฒน์ ลาวชุด และ นายมงคล เทพวงษา คนงานก่อสร้างที่เป็นผู้พบกระเป๋าใบดังกล่าว ให้ข้อมูลว่า กำลังขับรถกลับไปยังแคมป์คนงาน พอวิ่งมาถึงจุดเจอกระเป๋า ยางล้อหลังด้านขวาเกิดระเบิด จึงจอดหลบลงข้างทาง เพื่อจะเปลี่ยนล้อยาง ช่วงที่ลงไปจากรถ นายพีระพัฒน์ เหลือบไปเห็นกระเป๋าอยู่ในพงหญ้า จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วเรียกนายมงคล ให้ช่วยกันดึงกระเป๋าขึ้นมา พอเปิดออกพบโครงกระดูกของคน ถึงกับช็อกทำอะไรไม่ถูก พอตั้งสติได้จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจมาตรวจสอบ
ภายหลังจากที่ได้ตรวจสอบในเบื้องต้นแล้ว ร.ต.อ.เนวิน สุนทวนิค รอง สว.สอบสวน สภ.ห้วยใหญ่ เจ้าของคดี ได้นำโครงกระดูกปริศนา ส่งสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ กรุงเทพฯ เพื่อชันสูตรอย่างละเอียด พร้อมทั้งตรวจ DNA ว่าเป็นใคร เพื่อนำไปเทียบเคียงกับญาติในทุกๆรายที่ได้มีการแจ้งความคนหายไว้ในท้องที่ห้วยใหญ่และพื้นที่อื่นในภาค 2
ทางด้าน พ.ต.ท.พรพรหม ม่วงบังยุง รอง ผกก.สส.สภ.ห้วยใหญ่ เผยว่าจากการตรวจสอบ ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ถูกนำมายัดใส่กระเป๋า ในสภาพใด เบื้องต้นไม่พบคราบเลือดหรือน้ำเหลืองของซากศพ จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นการนำกระดูกมนุษย์ที่แห้งแล้วมายัดใส่กระเป๋า แล้วนำมาวางทิ้งหรือไม่ ซึ่งชุดสืบสวนจะเร่งคลี่คลายปมปริศนา เพื่อให้ทราบก่อนว่าโครงกระดูกที่พบเป็นใคร?
ต่อมาเวลาประมาณ 21.30 น. นายสุรศักดิ์ จำปาทอง อายุ 37 ปี พร้อมญาติ เดินทางมาจาก ตำบลบางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มายังบริเวณจุดที่พบโครงกระดูก แจ้งข้อมูลว่า พี่ชายแท้ๆคือนายสิริศักดิ์ เฟื่องสูงเนิน อายุ 56 ปี ได้หายไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 เป็นเวลา 2 เดือนกว่า โดยได้ไปแจ้งความคนหายไว้ที่ สภ.สัตหีบ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา
นายสุรศักดิ์ จำปาทอง เล่าว่า พี่ชายมีอาชีพเป็นช่างทาสี ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่สามารถติดต่อได้ ญาติพยายามออกตามหาแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอ ช่วงนั้นเคยมีคนโทรไปบอกกับพี่เขยว่า นายสิริศักดิ์ เฟื่องสูงเนิน พี่ชายไปเสียชีวิตที่ต่างจังหวัด ก็รู้สึกแปลกใจ จนกระทั่งเห็นมีการไลฟ์สด เจอโครงกระดูกมนุษย์ในกระเป๋าเดินทาง จึงรีบเดินทางมาดู
“พี่ชายของผม เป็นคนรูปร่างผอม จนเนื้อหุ้มกระดูก สูงประมาณ 170 เซ็นติเมตร ชอบดื่มเหล้าขาว ส่วนสาเหตุที่พี่ชายหายไป ไม่มีใครรู้ว่าเพราะสาเหตุใด พยายามติดต่อก็ติดต่อไม่ได้ ส่วนตัวเชื่อว่าพี่ชายถูกฆาตกรรม ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าโครงกระดูกที่เจอนั้น จะเป็นของพี่ชายหรือไม่” นายสุรศักดิ์ กล่าวกับผู้สื่อข่าว
ต่อมา ตำรวจได้ให้นายสุรศักดิ์ จำปาทอง ไปให้ข้อมูลที่โรงพัก สภ.ห้วยใหญ่ แต่ในระหว่างที่กำลังสอบถาม ตำรวจได้ติดต่อไปยัง นายจ้างและเพื่อนร่วมงาน ได้รับการยืนยันว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน มีคนเห็นนายสิริศักดิ์ เฟื่องสูงเนิน ที่มีการแจ้งเป็นบุคคลสูญหาย ขี่รถจักรยานยนต์อยู่แถวย่านกิโล 10 อำเภอสัตหีบ เมื่อทางญาติรู้ข้อมูลเพิ่มเติมจากตำรวจ ขอกลับไปตรวจสอบก่อน ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และจะกลับมาแจ้งข้อมูลกับตำรวจ อีกครั้ง
ทีมข่าว “ทูนิวส์”เมืองพัทยา
ธัญธนาฒย์ สิงห์โตนิเวศ
อธิบดี บุญชารี รายงาน
