ตราด-กฎเหล็กกรมวิชาการเกษตรส่งออกทุเรียนทำผู้ประกอบการลดการรับซื้อเกือบครึ่ง กระทบเกษตรกรวอนยกเลิกหรือปรับเกณฑ์ให้เหมาะสม เป็นธรรม
จีนเข้มตรวจแคทเมียมกับBY2 ซึ่งแคทเมียมในไทยไม่มี ส่วนBY2 กรมวิชการเกษตรก็ยังไม่รู้ว่ามาจากไหน จากกล่องใส่ทุเรียนหรือสี แม้ทางล้งจะเปลี่ยนกล่อง ก็ยังพบBY2 บ้างไม่พบบ้าง หลายคนบอกว่าBY2 ที่พบในทุเรียนอาจจะมาจากกล่อง สีกล่องมาปนเปื้อนในผลทุเรียนก็เป็นได้ ต้องให้กรมวิชการเกษตรตรวจสอบให้แน่ชัดอีกที ส่วนเรื่องระเบียบการจัดการเมื่อเจอสารแคทเมียม BY2 เมื่อจีนตรวจพบแล้วให้ส่งกลับมาทำลายทั้งตู้นั้นก็ไม่ถูกต้อง เพราะทุเรียนไม่ใช่จะพบBY2ทั้งตู้ และถ้าเจอครั้งที่ 2 สั่งระงับการส่งออกทั้งหมด จนกว่ากรมวิชาการเกษตรจะอนุญาตให้ส่งออกได้ก็แรงไป เหมือนกับคิดเอง ทำเอง ไม่คำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสมกับผู้ประกอบการ อันจะส่งผลกระทบถึงเกษตรกรชาวสวนทุเรียนด้วย เพราะเมื่อผู้ประกอบการส่งออกไม่ได้ก็ยุติกิจการ ราคาทุเรียนก็จะถูกลง แล้วผลผลิตของเกษตรกรจะไปไหนแบบนี้จะกระทบกับเกษตรกรโดยตรง ซึ่งเกษตรกรชาวสวนทุเรียนต้องลงทุนทำสวนทุเรียนตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4-5 ปี ต้องลงทุนสูง เพราะต้นทุนค่าปุ๋ยแพงขึ้น 100% ค่าแรงแพงขึ้น ค่าเคมีภัณฑ์แพงขึ้นเท่าตัว และยังต้องเสี่ยงกับภัยธรรมชาติ คือ แหล่งน้ำ ลมฝน พายุ และโรคแมลงต่างๆเป็นต้น ซึ่งปีนี้กฎเหล็กของกรมวิชาการเกษตร ทำให้ผู้ประกบการส่งออกทุรียนต้องลดปริมาณการส่งออกเหลือเพียง 60-70% เท่านั้น เพราะบริษัทส่งออกไม่กล้าเสี่ยงเต็มร้อยแบบปีที่ผ่านมา ทำให้การรับซื้อผลผลิตจากชาวสวนลดจำนวนลงด้วย
ซึ่งขั้นตอนการส่งออกจะใช้วิธีการขนส่งต็คอนเทรลเนอร์ 5-6 วันถึงปลายทาง แต่ปีนี้กว่าจะผ่านขั้นตอนต่างๆหลังรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรแล้วต้องใช้เวลาถึง12-13 วันเป็นอย่างต่ำ ทำให้เกิดความเสียหายกับผลผลิต ทุเรียนแตก เน่า มีเชื้อรา บางทีเสียหายทั้งตู้ มูลค่าตู้ละ 3 ล้านบาท นอกจากนี้ตู้ยังกลับมาไม่ทันกับการขนส่งผลผลิตเที่ยวต่อไป ปัจจัยอีกอย่างคือค่าเงินบาทแข็งตัว ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นอีกในแต่ละเที่ยวส่งออก นี่คือปัจจัยที่เป็นเหตุให้ผู้ประกอบการทุกบริษัทลดต้นทุนในการลงทุนรับซื้อผลผลิตจากชาวสวนลงถึงเกือบ 50 % เพื่อรอดูผลจากกฎเหล็กของกรมวิชาการเกษตร หลายๆบริษัท บอกว่ากรมวิชาการเกษตรจะต้องปรับเปลี่ยนกฎระเบียบการส่งออก หรือยกเลิกกฎใหม่นี้ ให้ใช้แบบเดิม คือการตรวจคุณภาพผลผลิตแบบเดิม ตรวจสารปนเปื้อนตามความเป็นจริง เพื่อให้การส่งออกทุเรียนเดินต่อได้และให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ราคาเหมือนเดิม เรื่องนี้มีแต่กรมวิชาการเกษ๖รเท่านั้นที่จะรู้ว่ามันมีนอกมีในมีประเด็นเบื้องลึกกันอย่างไร แต่ที่แน่ๆคือทุกปัญหาจะมาลงที่เกษตรกรชาวสวนแน่นอน
สำหรับผลผลิตทุเรียนของเกษตรกรชาวตราด ปีนี้แม้ผลผลิตต่อสวนจะลดลงจากภัยธรรมชาติคือฝนมาเร็ว ทุเรียนร่วงหล่น คุณภาพไม่ดีเหมือนปีก่อน แต่ภาพรวมผลผลิตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาเพราะพื้นที่การปลูกทุเรียนเพ่มขึ้นเป็นหมื่นๆไร่ ส่วนราคาช่วงนี้ ทุเรียนพันธุ์หมอนทองเกรดAB ลงกล่องหน้าล้ง ราคากก.ละ 130 บาท เกรดC ราคา กก.ละ 100 บาท โดยราคารับซื้อของพ่อค้าถึงสวนจะต่ำลงกก.ละ 20-30 บาท เทียบกับปีที่ผ่านมา ราคาในช่วงเดียวกันสูงกว่ากก.ละ 50 – 60 บาท ซึ่งกฎเหล็กกรมวิชาการเกษตรนี้ ส่งผลให้พ่อค้ารับซื้อถึงสวน นำไปเป็นเกณฑ์ในการกดราคาผลผลิตของชาวสวนให้ต่ำลงโดยอ้างว่าต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดผลทุเรียนเพื่อให้สามารถส่งขายล้งส่งออกได้
ผู้สื่อข่าว พูลศักดิ์ บุญลอย 0868242989 ศิวพงศ์ บุญลอย 0988997492 17 พฤษภาคม 2568